ชาวบ้านร้องสื่อ หลังไม่ได้รับความเป็นธรรม

ชาวบ้านร้องสื่อ หลังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำพิพากษาของศาล

นายชาตรี วงศ์เกตุ ชาวบ้านตำบลน้ำตก อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำพิพากษาของศาลในคดีที่ดินพิพาท 
และเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 เจ้าหน้าที่บังคับคดีก็ได้นำหมายศาลมายังที่ดินพิพาท เพื่อทำการรังวัดที่ดิน เพื่อที่จะรื้อแนวรั้วกั้น แล้วต้องรื้อให้เสร็จภายในวันที่ 6 ธันวาคม 2564 รวมทั้งรังวัดที่ดินแนวเขตใหม่ตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งเป็นการเพิ่มเนื้อที่ให้คู่กรณีของนายชาตรีจำนวน 2 ไร่กว่า โดยนายชาตรีเห็นว่า การกระทำดังกล่าวนั้น ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงไม่ได้ลงลายมือชื่อยินยอม เพราะตนเองมั่นใจว่า ที่ดินและรั้วกั้นนั้นอยู่ในที่ดินของตนแน่นอน โดยมีสื่อมวลชนจากส่วนกลางมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
นายชาตรี วงศ์เกตุ ผู้ร้องกล่าวว่า ตนเองเชื่อในพยานหลักฐานและพยานบุคคลว่า “ที่ดินที่พิพาทนั้นเป็นของตนเองอย่างแน่นอน” คือ
ประกาศที่ 1 ที่ดินของตนได้ซื้อมาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2553 จากนางสาวอรวรรณ ยอดพรมมา ซึ่งเป็นตัวแทนขาย  และได้มีการแจ้งทำการล้อมรั้วเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 ที่สถานีตำรวจภูธรนาน้อย กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดน่าน โดยมีพันตำรวจโทวิฑูร ชัยวุฒิ พนักงานสอบสวนเวรรับทราบ แล้วลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน   และขณะที่ทำการตั้งแนวรั้ว นางสาวอรวรรณ ตัวแทนขายก็เป็นผู้ชี้เขตแดนให้ตั้งแนวรั้วเอง โดยมีนายสะอาด มาคำ ซึ่งเป็นกำนันในขณะนั้นร่วมในเหตุการณ์ด้วย ซึ่งแนวรั้วดังกล่าวก็มีมาก่อนที่คู่กรณีมาซื้อที่ดินติดกัน เพราะคู่กรณีได้ซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า รั้วดังกล่าวนั้นอยู่ในที่ดินของตน

ประการที่สอง มีหลักฐานเป็นหนังสือบันทึกการอุทิศ/บริจาคที่ดิน ในการวางท่อสาธารณประโยชน์ยาว 800 เมตร ที่ตนเองได้ทำกับนางวนิดาภรณ์ ทิพย์ปาละ รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำตก รักษาราชการแทนปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำตก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2560 โดยมีนายชยุต จิตรานนท์ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำตก และเจ้าหน้าที่ของ อบต.น้ำตก พร้อมด้วยลูกบ้านจำนวน 50 คน ได้มาขอที่ดินเพื่อวางท่อน้ำสาธารณประโยชน์จากตน ดังนั้นที่ดินดังกล่าวก็ต้องเป็นของตน ตนจึงจะสามารถบริจาคที่ดินดังกล่าวได้
ประการที่สาม ตนเองมีพยานหลักฐานสำเนาภาพถ่ายแนวเขตป่าไม้ของจังหวัดน่านปี 2556 และ 2562
ประการที่ 4 ตนเองเคยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคู่กรณีในคดีที่ดังกล่าวมาแล้วถึง 2 ครั้ง ศาลจังหวัดน่านมีคำพิพากษาว่า “คู่กรณีมีความผิดฐานบุกรุก” มีโทษจำคุก และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ตนเป็นจำนวนเงิน 16,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญามีกำหนด 2 ปี จากคำพิพากษาของศาลตนจึงมั่นใจว่าที่ดินนั้นเป็นของตนอย่างแน่นอน

แต่หลังจากที่คู่กรณีของตนเป็นโจทก์ฟ้องตน ศาลจังหวัดน่านก็ไม่ได้มีการสืบพยานบุคคลและพยานหลักฐานที่ตนเองมี อีกทั้งไม่นำคำพิพากษาของตนและคู่กรณีเกี่ยวกับที่ดินที่พิพาทที่มีมาก่อนหน้านี้มาพิจาณาด้วย และมีคำพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ของตน ตนเองจึงมีสงสัยอย่างมากว่า ในตอนที่ตนเองเป็นโจทก์ฟ้องคู่กรณี ศาลจังหวัดน่านได้มีพิพากษาว่าที่ดินเป็นของตน แต่เวลาคู่กรณีเป็นโจทย์ฟ้องตน ที่ดินดังกล่าวกลับกลายเป็นของคู่กรณีเสียอย่างนั้น ทำให้ตนมีความสงสัยเป็นอย่างมาก
และตนก็ขอให้มีการรังวัดที่ดินทั้ง 3 แปลงที่เป็นของตนกับคู่กรณีใหม่ จะได้ทราบว่าที่ดินของแต่ละคนนั้นมีเนื้อที่และอาณาเขตพื้นที่ถึงตรงไหนกันแน่ แต่คู่กรณีกลับไม่กล้าที่จะให้รังวัดที่ดิน จึงทำให้ตนเองสงสัย คลางแคลงใจว่า การที่คู่กรณีไม่กล้าให้รังวัดที่ดินใหม่นั้น มีอะไรแอบแฝง หรือมีการปกปิดอะไรหรือเปล่า 
นายชาตรีกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนจะสู้ให้ถึงที่สุด และจะเดินหน้ายื่นหนังสือร้องเรียนไปยังส่วนกลาง ทั้งศูนย์ดำรงธรรม ศาลปกครอง และศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่ทำเนียบรัฐบาลต่อไป

ความคิดเห็น

ข่าวฮอตชัดทุกกระแส

วิเคราะห์ เจาะลึก วัตถุมงคลหลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน

“ธรรมาภิบาล”เร่งหารือ กกต.ให้จัดการเลือกตั้งใหม่

ฟุตบอลสูงอายุชิงถ้วย ร.10 68 ทีมร่วมฟาดแข้ง

ชมรมทหารพราน ค่ายปักธงชัย แจกข้าวสาร อาหารแห้ง ณ​ ชุมชนชาวคลองลัดภาชี

ราชกรีฑาสโมสรจัดศึกกีฬาม้าแข่งไร้พนันชิงชัยแบบนิวนอร์มัล

ไทย ต้านไม่ไหว พ่ายญี่ปุ่น 0-7

ทนายอนันต์ชัย โพสต์ FB ระบุ