“การปฏิรูปที่น่าจับตา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ”

“การปฏิรูปที่น่าจับตา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ”

เมื่อปลายปีที่แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้แถลงว่านักวิทยาศาสตร์ไทยมีขีดความสามารถที่จะประดิษฐ์ยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ 

ซึ่งกระทรวง อว. จะสนับสนุนให้ทำสำเร็จภายใน 7 ปี นับเป็นชาติแรกๆ ของเอเชียและอาเซียน นับเป็นเรื่องที่ฮือฮากันมาก ตามมาด้วยเสียงเชียร์และเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร

ย้อนกลับอีกหนึ่งปี  รัฐบาลได้ออก พรบ.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พ.ศ. 2562  มีผลทำให้เกิดการควบรวมหน่วยงานทั้งหมดของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เข้ามาอยู่ด้วยกัน ให้มีอำนาจหน้าที่ขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน 

นับเป็นการควบรวมหลายหน่วยงาน ที่ล้วนมีศักยภาพเกี่ยวข้องกัน แต่แยกกันอยู่แยกกันทำงาน  โดยเมื่อเข้ามาประกอบเป็นร่างใหม่ มีวิสัยทัศน์ ภารกิจและเป้าหมายที่ชัดเจน  ประกอบด้วยหน่วยงานย่อย 6 กรม 2 รัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงานที่มีพรบ.เฉพาะ และ 7 องค์การมหาชน รวมทั้งมหาวิทยาลัยรัฐ 57 แห่งก็เข้ามาอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรี อว.ด้วย ถือเป็นผลงานการปฏิรูปประเทศที่เป็นรูปธรรมเด่นชัดชิ้นหนึ่งของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

สำหรับ (ร่าง)พระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ...ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภาในขณะนี้ นับเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง  ที่อาจถือได้ว่าเป็นจิ๊กซอว์สำคัญอีกตัวหนึ่งของการปฏิรูประบบงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมของประเทศที่เดียว

กล่าวคือ เป็นร่างกฎหมายที่มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ในประเด็นการปฏิรูปสถาบันเศรษฐกิจที่ว่าด้วยการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการสร้างระบบนิเวศแก่ SME ในการประกอบธุรกิจ 
เพราะเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา  ผลงานวิจัยของประเทศมักอยู่ในสภาพ “ขึ้นหิ้ง” เป็นส่วนใหญ่ 

สาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากการที่ผู้รับทุนและนักวิจัยไม่สามารถเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมได้ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานผู้ให้ทุนของรัฐ  ที่ระบุให้ “ผู้ให้ทุน” ผูกขาดความเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว 

แม้กรณีผู้ให้ทุนเป็นเจ้าของร่วมกับผู้รับทุน  ก็ต้องทำเป็นสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing Agreement) ซึ่งมีขั้นตอนขอความยินยอมจากผู้เป็นเจ้าของทุกฝ่าย  การเจรจาต่อรองค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ์ก็ไม่มีกรอบแนวทาง จึงมักตกลงกันได้ยาก ใช้ระยะเวลายาวนานมาก 

ด้วยอุปสรรคปัญหาต่างๆ ส่งผลให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่รัฐถือครองความเป็นเจ้าของ ไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ งบประมาณรัฐที่ลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมจึงไม่ก่อผลในทางเศรษฐกิจและสังคม  ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคการผลิตและบริการ รวมทั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชนอย่างเป็นรูปธรรม

ดังนั้น การปลดพันธนาการในเรื่องนี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้วิจัยสามารถขอสิทธ์เป็นเจ้าของได้  ด้านผู้ประกอบการที่สนใจก็มีโอกาสที่จะขอนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปต่อยอดการผลิตสินค้าและบริการได้  จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือ นำไปใช้เพื่อประโยชน์ของสาธารณชนในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การสาธารณสุข การพลังงาน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 

ในความรู้สึกส่วนตัว ผมคิดว่า กฎหมายปฏิรูปฉบับนี้อาจจะช่วยเปิดทางให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยไทย สามารถนำพาประเทศไทยให้ไปยืนอยู่ในแถวหน้าสุดของโลกได้ เช่นเดียวกันกับด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยได้แสดงให้เห็นแล้วในช่วงสถานการณ์โควิด 19

นพ.พลเดช ปิ่นประทีป / 30 มิ.ย. 2564

ความคิดเห็น

ข่าวฮอตชัดทุกกระแส

วิเคราะห์ เจาะลึก วัตถุมงคลหลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน

“ธรรมาภิบาล”เร่งหารือ กกต.ให้จัดการเลือกตั้งใหม่

ฟุตบอลสูงอายุชิงถ้วย ร.10 68 ทีมร่วมฟาดแข้ง

ชมรมทหารพราน ค่ายปักธงชัย แจกข้าวสาร อาหารแห้ง ณ​ ชุมชนชาวคลองลัดภาชี

ราชกรีฑาสโมสรจัดศึกกีฬาม้าแข่งไร้พนันชิงชัยแบบนิวนอร์มัล

ไทย ต้านไม่ไหว พ่ายญี่ปุ่น 0-7

ทนายอนันต์ชัย โพสต์ FB ระบุ